Book Review: One Million Followers: How I Built a Massive Social Following in 30 Days

เล่ม8 /2020

อ่านได้เลย แนะนำ

คืองี้ คนเขียนเป็นนักสร้างแบรนด์ให้กับเซเลปหรือบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งเขาเชื่อว่าวิธีของเขาง่าย ใครๆก็ทำตามได้ แต่คนคงไม่เชื่อ เพราะว่าเค้าทำแบรนด์ให้คนดังๆ

เค้าเลยลองทำ FB ของตัวเองขึ้นมา คนโนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก ่และใช้กลยุทธ์ของเขา และ เขาสามารถสร้าง 1ล้าน follower ได้ใน 1 เดือน!

WTF!

สรุปหลักการของเขาคือ

1. เน้น content ที่ shareable … หนังสือบอก ยอดแชร์สำคัญกว่ายอดวิว เพราะการแชร์จะนำไปสู่ engagement และ การ follow

2. ยิง ad เพื่อ Test … คือการทำ content มาหลายแบบเพื่อเทสว่าคนชอบแบบไหน ไม่ต้องเดา ให้ยิง ad เทสกับลูกค้าไปเลย ถ้าเจอ content ที่โดนกลุ่มลูกค้า ก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ

การยิง ad ก็เน้นจ่ายถูกๆ จ่ายไม่นาน แต่ยิงหลาย ad เช่น อายุ ความชอบ และ content รูปแบบต่างๆ ยิงไประยะสั้นก็พอเพื่อเทส แล้วดูว่าแบบไหนโดน

จะว่าไปมันก็คือการทำ market study

สรุป แนะนำให้อ่าน เหมาะกับทุกคนที่กำลังสร้าง content ในโลกโซเชียล

Book Review: วิธีพูดกับทุกคนในทุกสถานการณ์

เล่ม 7 /2020

เป็นหนังสือสอนเทคนิคการพูดคุย เพื่อให้คนฟังเกิดความเป็นมิตร ช่วยใการสร้างมิตรภาพ กระทั่งสร้างให้คนฟังเกิดความรู้สึกว่าเรามีความมั่นใจ น่าเชื่อถือ

ก็เป็นหนังสือสอนวิธีปฏิบัติอ่ะนะ มีหลักคิดนิดหน่อย

ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบหนังสือที่เน้นแต่วิธีปฏิบัติแบบนี้ แต่อ่านแล้วต้องยอมรับว่าเทคนิคของเค้านี่เด็ดจริง หลายอันไม่เคยได้ยินมาก่อน

เช่น เวลาอยากหาเรื่องคุยกับคนอื่นแล้วไม่รู้จะทำยังไงดี หนังสือแนะให้ลองใช้คำว่า “นั่นอะไรหน่ะ” คือถามไปยังสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจที่อยู่บนตัวเขา แล้วคนนั้นจะเกิดความอยากเล่าให้เราฟัง

เพราะการที่แต่ละคนใส่บางอย่างบนร่างกาย มันมักจะมีความหมาย

ซึ่งผมก็ลองเอาไปใช้ดู คือลองวิชาอ่ะ โดยไปถามน้องคนนึงที่นั่งนิ่งๆข้างๆกันว่า บนเสื้อมึงนี่อะไรเย็บติดอยู่วะ สวยดี เท่านั้นแหล่ะ น้องเค้าก็เล่าออกมาเป็นฉากๆว่าดีไซน์เสื้อมันคืออะไร ที่มาคืออะไร แบบว่าคุยต่อกันได้ยาวเลย ซึ่งผมก็สนุกไปด้วย

หรืออีกวิธีนี่น่าสนใจคือ การยิ้ม หนังสือบอกว่าผู้หญิงจะดูน่าเชื่อถือขึ้นหายิ้มให้ช้าลง ไม่ใ่ช่เจอหน้าใครก็ยิ้มเลย คือให้มองหน้าก่อน แล้วค่อยๆยิ้มช้าๆ จะดูดึงดูดและน่าเชื่อถือกว่า … ก็น่าสนใจดี

หนังสือเหมาะกับคนที่อยากพัฒนาเทคนิคการพูดคุย หลักปฏิบัติเหล่านี้ก็ยอมรับว่ามันเหมือนเป็นเปลือกนะ แต่รู้ไว้อย่างน้อยก็ป้องกันตัวเองไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดได้

เหมือนกับเลือกใส่เสื้อ จะได้รู้ว่าควรใส่เสื้อประมาณไหน ไม่ให้ผิดกาละเทศะ

ถามว่าน่าซื้อมั้ย … กลางๆนะ … ถ้าสนใจเรื่องการพูด เพื่อผูกมิตรเข้าสังคม ก็แนะให้ลองอ่านดู

Book Review: เปลี่ยนยากเป็นง่าย ด้วยการคิดบนกระดาษ 1 ใบ ที่คนญี่ปุ่นใช้กัน (Master of one page summary)

เล่ม6 /2020

หนังสือสอนวิธีการสรุปเนื้อหา ให้กระชับ คนอ่านเข้าใจง่ายใน 1 แผ่น ของคนที่ทำงานใน Toyota เหมาะกับคนที่สนใจศึกษาหลักการจับใจความเพื่อทำ Presentation หรือ สรุปข้อมูล

ซึ่งหลักการทำ One Page Summary จากหนังสือเล่มนี้คือ
1. สรุปภาพใหญ่ ว่าอะไรคือประเด็นสำคัญ (ขั้นตอนนี้พูดง่ายแต่ทำยาก)
2. ใส่กรอบ ล้อมเนื้อหาแต่ละส่วนแยก ให้อ่านง่าย
3. ทำเนื้อหาให้เรียบง่าย เพื่อคนอ่านจะได้เข้าใจทันที ไม่สับสน

หนังสือมีคำคมเยอะดี คำคมฝรั่งที่ผมชอบคือ “If it looks good on a T-Shirt, it would probably be a pretty cool title or cool song”

สิ่งที่ไม่ชอบ

คือรูปเยอะมาก ทำไมต้องใช้รูปวาดประกอบเยอะขนาดนี้ เนื้อหาแค่ครึ่งหน้า กลายเป็น 3 หน้า … ข้อดีคือ อ่านพลิกผ่านแต่ละหน้าไวมาก

แอบรู้สึกว่า เป็นหนังสือสอนการสรุปเนื้อหาใน 1 แผ่น ที่วาดรูปยืดเนื้อหาออกเป็นหลาย ๆ แผ่น

สรุป เนื่องจากผมอาจจะอ่านหนังสือแนว One Page Summary มาแล้วหลายเล่ม ทั้งของไทยและฝรั่ง ผมเลยเฉย ๆ กับหนังสือเล่มนี้

แต่ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหนังซื้อแนวนี้เลย ก็ลองซื้อมาอ่านได้ครับ (รูปเยอะนะ เตือนแล้ว)

Book Review: 13 สิ่งที่คนเข้มแข็งเขาไม่ทำกัน

เล่ม 5 / 2020

เป็นอีกเล่มที่นักอ่านหลายคนแนะนำ อ่านสนุกดี
เนื้อหาก็ตามชื่อเรื่องเลยว่า แนวคิดและมุมมองอะไรบ้างที่ควรทำเพื่อความสุขในชีวิต เขียนโดยนักจิตบำบัด

ส่วนตัวชอบนะ เพราะแยกเป็นข้อ ๆ เข้าใจง่าย และ เลือกตัวอย่างดี

แต่ทีนี้ พออ่าน ๆ ไปก็เริ่มสังเกตว่า จริงแล้วแนวคิดในเล่มนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากเล่มอื่น เพียงแต่ว่ารวมใจความของหลาย ๆ แนวคิดสำคัญ ทำให้เราเห็นภาพรวมของแนวคิดต่าง ๆ

ซึ่งทำให้เราไม่สามารถลงละเอียดได้ในแต่เรื่องได้
ก็เป็นหนังสือเน้นแนวกว้างอ่ะนะ ไม่ใช่แนวลึก แต่เล่มนี้ผมมองว่าก็ไม่ผิวเผินถึงขั้นขี่ม้าชมดอกไม้ เพราะให้หลักปฏิบัติด้วย

สรุป อ่านได้ถ้าอยากอ่านหนังสือรวมแนวคิดต่าง ๆ ที่เขียนออกมาเป็นเชิงแนวปฏิบัติเลย
แต่ถ้าอยากอ่านลึก ๆ และมีเวลา แนะนำให้อ่านหลาย ๆ เล่มที่ดัง ๆ ไปเลยจะดีกว่า เพราะจะได้เข้าใจจริง ๆ

*************************************************

สิ่งที่ผมชอบจากหนังสือเล่มนี้

1 จิตใจเข้มแข็ง คือการมองโลกตามจริง สมเหตุสมผล … ไม่ใช่คิดบวก (อันนี้คม)

2 การพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็ง ไม่ใช่การวิ่งไล่ความสุข แต่เป็นการยอมรับความจริง ยอมรับอดีต สงบศึกกับอดีต เพื่อเดินไปข้างหน้า

3 เวลาที่เราโกรธหรือไม่พอใจ นั่นคือเรากำลังถูกควบคุม การปล่อยวาง ให้อภัย ใจจะเป็นอิสระ ไม่ถูกควบคุม และ อย่าไปใส่ใจกังวลกับสิ่งที่คุมไม่ได้ (อันนี้พุทธมาก)

4 อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง ให้ค่อย ๆ ปรับปรุงตัวเองทีละนิด (แนวคิดคล้ายหนังสือ Atomic Habbit) และ อย่ากลัวความเสี่ยงต่าง ๆ จนเกินไป (เหมือนหนังสือ Factfulness)

5 เลือกกล้าเลือกว่าอะไรสำคัญ (คล้ายหนังสือ Essentialism หรือ One Thing)

6 มี Growth Mindset … หนังสือไม่ได้ใช้คำนี้ แต่อ่านแล้วมันคือ Growth Mindset ชัด ๆ (อ่านหนังสือ Mind Set ไปเลย ครบกว่า)

7 อยู่คนเดียวบ้าง อยู่เงียบ ๆ บ้าง และ หัดทำสมาธิ … ตอนนี้หนังสือฝรั่งพูดเรื่องสมาธิเยอะขึ้นนะ

Book Review: Influencer

เล่มที่ 4 /2020

ผิดหวัง เพราะคิดว่าจะเป็นหนังสือว่าด้วยการสร้าง Content ดีๆ แต่กลายเป็นหนังสือสำหรับ Beauty Blogger หรือ นักริวิวสิ่งของต่าง ๆ ที่เน้นไปทาง Instagram หรือ Vlog มากกว่า

หนังสือก็ไม่ได้ผิดอะไร แค่ไม่ตรงกับใจที่คิดว่าจะอ่านตอนแรก

แต่หนังสือก็ดีนะ ที่น่าสนใจคือ เกินครึ่งเล่มว่าด้วยแนวทางการทำเงินหลังจากดังแล้ว เขียนละเอียดเลยนะ เขียนไปยันการทำสัญญา ซึ่งคำว่าดังแล้วคือต้องมี follower เป็นหลักแสน แต่หนังสือบอก พอได้ซัก 35,000 follower ก็จะเริ่มมีคนติดต่อเข้ามาละ

เพจผมนี่ เป็นไข่มดเลย อีกยาวไกล

สิ่งที่ชอบจากหนังสือ

1) ให้สร้าง content อย่างต่อเนื่อง
2) อย่าชมอะไรเกินจริง เช่น น้ำหอมที่ดีที่สุดที่เคยมีมา มันเวอร์ไปคนไม่เชื่อ
3) อย่ารีวิวตำหนิจนเกินไป เพราะแม้จะจริง แต่ทำให้คนขยาด ไม่กล้าให้เรามารีวิว เดี๋ยวรายได้หาย

คือหนังสือไม่ได้สอนว่า content ที่ดีเป็นยังไง ควรวางโครง content ยังไง

สรุป ถ้าไม่มีเพจ ไม่ได้รีวิวอะไรก็ไม่ต้องอ่าน ถ้าเพจคุณยังไม่ถึง 35,000 follower ก็อย่าเพิ่งอ่าน เพราะยังไม่ได้อะไร และ หนังสือก็ไม่ได้สอนอะไรมากด้วยว่า ทำอย่างไรถึงจะดึงดูด Follower ได้เยอะ ๆ

ปล. จะรีวิวหนังสือ สัปดาห์ละเล่มนะครับ ทุกวันศุกร์ แต่สัปดาห์นี้มาสายหน่อย เพราะเห็นว่ามีเรื่องอื่นน่าโพสมากกว่า ไว้จะรีวิวให้ได้ทุกวันศุกร์ให้เป็นนิสัยนะครับ ทุกท่านจะได้ตามอ่านง่าย ๆ

Book Review: Burn-out Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน

เล่มที่ 3 /2020

เขียนอ่านง่าย ตามสไตล์ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะอ่านเล่มนี้ จนเห็นว่า หมอประเสริฐ เขียนก็ซื้ออ่านเลย

คือเป็นแฟนคลับ หมอประเสริฐ มาตั้งแต่สมัยคอลัมภ์ การ์ตูนที่รัก ในมติชนรายสัปดาห์ ต่อมามีลูกก็อ่านหนังสือ EF ต่อ ส่วนตัวมองว่าหมอประเสริฐเป็นคนที่ความรู้กว้างมาก

หนังสือเล่าถึงอาการ Burn-Out สรุปได้ประมาณนี้

1. Burn-Out คือ ภาวะหมดไฟ แปลง่าย ๆ ว่าเห็นตึกทำงานแล้วหมดแรง

2. คนเรามักจะ Burn-Out เมื่อพบภาระ งานเกินตัว และ ขาดอิสระในการทำงาน

3. บรรยากาศในการทำงานจะส่งเสริมให้เกิด Burn-Out ได้ หากมีการแบ่งชั้นวรรณะมากเกินไป หรือ ที่ทำงานเต็มไปด้วยคนไม่จริงใจ

4. Burn-Out จะนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า และ อาการ Burn-Out กับความคิดฆ่าตัวตายมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ

5. ทางแก้
    5.1 คุยกับเจ้านาย (ถ้าทำได้นะ และ เจ้านายให้ความสำคัญเรื่องนี้)
    5.2 พัฒนาการทำงาน ให้สามารถงานได้ดีขึ้น หรือหาทางกลับไปตั้งหลักใหม่ (ข้อนี้อ่านแล้วขัดใจ แต่หนังสือบอกว่า จริงๆแล้วอาจจะยังไม่ได้เป็น Burn-Out ให้ลองสู้ดูก่อน)
    5.3 นอนให้อิ่ม กินให้หลับ ออกกำลังกาย เจริญสติ

อ่านได้นะ คนทำงานควรอ่าน คนเป็นเจ้านายก็ยิ่งควรอ่าน

อ่านแล้วก็เริ่มระแวงตัวเอง ดูแล้วแอบครบ สิ่งที่จะพอให้ชีวิตรู้สึกเป็นอิสระได้ก็คือทำเรื่องเกม เล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งจริง ๆ ก็อยากทำเรื่องเกมอีกเยอะนะ คือมีไฟแต่ทำไม่ได้มาก แม่งเหนื่อยใจ

Book Review: อ่านธุรกิจใน 69 แผนภาพ

เล่มที่ 2 / 2020

1. เป็นหนังสือรวม Framework ทางธุรกิจหลักไว้ ก็น่าสนใจดี แต่รู้สึกงั้น ๆ นะ
คืองี้ หนังสือเขียนอธิบาย Framework ละ 2 หน้า เป็นคำบรรยาย 1 แผ่น เป็นรูปประกอบ 1 แผ่น

2. ส่ิงที่ชอบคือ เค้าบอกด้วยว่า แต่ละ Framework มันเชื่อมโยงและใช้คู่กันได้ยังไงบ้าง

3. ข้อดีคือ สรุปใจความดี อ่านแล้วเข้าใจภาพกว้าง ได้รู้จักกับ Framework มาตรฐานต่าง ๆ
4. ข้อเสียคือ มันก็สั้นไปไง ไม่เข้าใจได้ลึก และ ไม่มี Framework ที่ใหม่ ๆ เช่น พวก Business Model Canvas ซึ่งจริง ๆ ไอ้ Canvas นี่ก็ไม่ใหม่นะ นานมากแล้ว

5. นั่นคือ หนังสือเหมาะสำหรับเก็บไว้เป็น Refference ไม่เหมาะใช้เป็นหนังสืออ่านเอาความรู้จริงจัง

6. สรุปก็ซื้อมาอ่านได้ ถ้าอยากรู้จัก Framework ทางธุรกิจต่าง ๆ แต่ถ้าไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้ก็ไม่ต้องอ่านก็ได้

ปล. จริง ๆ อยากจะสรุปเป็นข้อ ๆ แต่ไม่รู้สรุปยังไง เพราะหนังสือเอา Framework มาเรียงต่อกันให้อ่าน

Keltis – Simple but Deep

ถ้าจะหาเกมที่เล่นง่ายๆ แต่ลึก เกมนึงที่ผมเชียร์คือ Keltis
แบบว่ากติกามันง่ายมาก คือ วางไพ่ 1 ใบหน้าเรา หรือ ทิ้งไพ่ 1 ใบ แล้ว จั่วไพ่ 1 ใบ แค่นั้นเอง

ไพ่มี 5 สี มีเลข เวลาวางไพ่หน้าต้องต่อแถวสีเดียวกัน เลขไล่ขึ้นหรือลงก็ได้ แต่ไล่ได้ทางเดียว
ดังนั้นระหว่างเล่น หน้าเราจะไพ่ 5 แถว 5 สี

พอวางไพ่หน้าเราเสร็จ ก็เดิน Token บนTrack ที่สีที่ตรงกับไพ่
แต้มจะเริ่มจากติดลบ ต้องเดินไกลนิดนึงถึงเป็นบวก

กองไพ่ทิ้ง มี 5 กองตามสี หงายไพ่แล้วทิ้งทับไปเรื่อยๆ
ตอนจั่วจะจั่วจากกองจั่วก็ได้ หรือ จากกองไพ่ทิ้งใบบนสุดที่หงายอยู่ แค่นี้เอง

เริ่มเห็นความจ๊าบของมันมะ … กั๊กไพ่ คำนวนไพ่กันสนุกสิครับพี่น้อง

Tactic การจัดการไพ่บนมือนี่สนุกมาก กั๊กไพ่ อมไพ่
ทิ้งตานี้ จั่วกลับเองตาหน้า ทิ้งให้เพื่อนหยิบแล้วเราหยิบต่อ

นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเช่น มี tile แต้มให้แย่งกันเก็บ
มี Token แต้ม x2 แบบว่า ถ้าเดินได้ไกลก็ได้บวกเยอะ แต่ถ้าได้แต้มลบก็จุกไป

………………………………

อารมณ์เกม อยากจะบอกว่าเหมือนเล่นไพ่ดัมมี่มาก ที่จั่วไพ่ ทิ้งไพ่ จัดไพ่บนมือ คำนวนไพ่เพื่อน แล้วเกิดไพ่

ผมเคยท้าเซียนดัมมี่เล่นเกมนี้
แพ้ยับครับ เค้าทำได้ไงไม่รู้ เดิน Token ไปจนสุดได้ทุกแถว ซึ่งมันโคตรยาก … บ้าบอมาก

เป็นอีกเกมดีมาก แต่ทุกวันนี้อาจจะไม่ค่อยดัง และหายากนิดนึง
ถ้าใครอยากจะลองเกมที่กติกาง่ายๆ แต่ลึก แนะนำเกมนี้ครับ ลองหามาสะสมกันได้

Ra … บอร์ดเกมประมูลในดวงใจใครหลายคน

Ra เป็นเกมแนวประมูลที่สนุกมาก ออกแบบโดยท่าน Reiner Knizia
เกมนี้มีธีมเป็นยุคอียิปโบราณที่เราจะต้องแข่งกันประมูลทรัพยากรโน่นนี่

ความเด็ดของ Ra ที่หาไม่ได้เกมประมูลเกมอื่น แม้แต่ในยุคปัจจุบันคือ Ra เป็นเกมประมูลที่เล่นได้ 2 คน

…. มันบ้าไปแล้ว เกมประมูลที่เล่น 2 คนได้ แถมสนุกด้วย ….

ประวัติการออกแบบเกมนี้ก็ไม่ธรรมดา ลองอ่านบทสัมภาษณ์ของท่าน Reiner กันดูครับ

“Ra actually has a good story behind it; it was the first game I did after my retirement. Two or three weeks after my retirement I said, ‘Okay, now let’s get started.’

That’s the time, when I do a big game, that the world around me stops. I concentrate on this game and nothing else.

And since I had more time, this concentration became even more extreme. For four to six weeks I did nothing but work on this game”

อ่านดูมันเหมือนกับท่าน Reiner ได้เข้าสู่ Flow ซึ่งน่าสนใจมาก และ ทำให้ไม่แปลกใจที่ทำไมเกมถึงออกมาได้มีเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้เกมอื่นและสนุกขนาดนี้

แนะนำให้ลองหามาเล่น และ ถ้าเป็นไปได้ก็เชียร์ให้หามาสะสมครับ
เกมนี้เป็นอีกหนึ่งเกมที่ผมลองเอาไปให้ใครเล่น ใครก็ชอบ สอนง่ายมาก เล่นซ้ำได้บ่อย

ใครชอบเกมนี้บ้าง ขอเสียงหน่อยยย

ต้นกำเนิด เกมบันไดงู

เชื่อมั้ยครับว่า เกมบันไดงู ที่พวกเราเล่นกันสมัยเด็ก ๆ นี่ เป็นเกมโบราณมากกกก

เกมนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดียโบราณ เชื่อกันว่าเกิดแถว ๆ 200 ปีก่อนคริสกาล โดยเป็นเกมของศาสนาฮินดูที่เอาไว้สอนเด็ก ๆ เรื่องหลักศาสนา ประมาณว่าการเดินทางของชีวิต ทำดีก็เหมือนขึ้นบันได ทำไมดีก็เหมือนงูฉกตกลงมา

มันน่าสนใจที่ กติกาเกมผ่านมาเป็นพันปีก็ยังเล่นเหมือนเดิม คือทอยเต๋าแล้วเดินไปเรื่อย ๆ เป็นการใช้ดวง 100% แต่แค่นี้ก็ถูกใจเด็ก ๆ มากแล้ว

ต่อมาชาวอังกฤษได้รู้จักเกมนี้ตอนยุคอาณานิคม และ นำเกมนี้ไปเผยแพร่ต่อในตะวันตก ซึ่งได้มีคนทำออกขายประมาณปี 1940

และ เกมนี้ก็เป็นที่นิยมไปทั่วโลก …

ตอนผมอ่านเจอเรื่องนี้นี่ ก็คิดต่อไปได้เยอะนะ ว่าขนาดเกมทอยเต๋าแล้วเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ยังสามารถเอามาใช้สอนเด็กเรื่องหลักศาสนาแบบง่าย ๆ ได้เลย เราเล่นบอร์ดเกมกันจริงจัง ก็อดไม่ได้ที่ต้องได้แนวคิดดีๆ กันบ้างหล่ะ จริงมั้ย