Gamification: เกมแปลว่าอะไร? ตอนที่ 2

#Gamification ตอนที่5

อีกนิยามนึงของเกมที่ผมชอบครับ

Game is a series of interesting choices โดย Sid Meier นักออกแบบเกม Civilization ชื่อดัง

เรื่องคำว่า Choice นี่ก็คุยกันได้ยาวนะครับ
ว่า interesting หรือ meaningful choice แปลว่าอะไร

เกมมันสนุกก็เพราะ การมี Interesting Choice อย่างต่อเนื่องนี่ล่ะครับ

กลับมาดูเรื่องงานในแต่ละวันของเราบ้าง
เต็มไปด้วย Assignment ที่เรียงรายอย่างต่อเนื่อง มีน้อยที่เราได้เลือกงานทำเอง

มันเป็นธรรมชาติของคนเรานะครับ ที่ต้องการได้เลือก ได้กำหนดเอง (Autonomy)

การได้เลือกว่าเย็นนี้จะกินอะไรระหว่างกระเพราหมู กับ กระเพราไก่
คนมักจะรู้สึกดีกว่า ถูกบังคับให้กิน ราดหน้า

Autonomy เป็น 1 ใน 3 ตัวหลักของ Intrinsic Motivation
ไว้วันหลังมาเล่าให้ฟังต่อว่าคืออะไร และ จ๊าบยังไง


ปล. เพิ่งรู้ว่าวิธีทำ Gif เลยหัดทำดู
ตอนแรกกะทำเป็นเรื่องราว วิ่งหลบ กระโดดนี้ วิ่งไล่จับแบบบ้านผีปอบ

แต่ทำไปทำมา แค่นี่ก่อนละกัน 😛

Gamification: เกมแปลว่าอะไร?

#Gamification ตอนที่4

เชื่อมั้ยครับว่า จริงๆเกมเนี่ยไม่ได้มีนิยามที่ชัดเจน

แบบว่าได้มีนักคิดหลายคนได้พยายามให้คำอธิบายไว้
ก็มีดีๆหลายอันนะครับ แต่อันนึงที่ส่วนตัวผมชอบมาก เพราะสื่ออะไรหลายๆอย่างได้ดีคือ นิยามของ Bernard Suits ที่ว่า

“the voluntary attempt to overcome unnecessary obstacles”.

แปลประมาณว่า ความเต็มใจที่จะพยายามเอาชนะอุปสรรคที่ไม่จำเป็น

คือชอบนิยามนี้มาก เพราะ ถ้าเราสังเกตดูให้ดี จะเห็นว่าจริงๆแล้วแต่ละเกมเนี่ยล้วนแล้วแต่มีความท้าทาย มีอุปสรรค ให้เราเอาชนะทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต้องผ่านด่านต่างๆ สะสมแต้ม เก็บทรัพยากร

ซึ่งไอ้ความยากลำบากทั้งหลายในเกมเนี่ย …ไม่จำเป็นอะไรกับชีวิตเราเลย

แต่ที่เด็ดกว่าคือ พวกเรากับเต็มใจที่จะทำ (Voluntary attempt) 555
ประเด็นเต็มใจทำนี่สำคัญนะครับ ว่าอะไรคือสิ่งที่จูงใจให้คน ”เต็มใจทำ”

คือมันเป็นหลักจิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในเกม ที่เรียกกันว่า Engagement Element ไม่ใช่แค่ Fun นะ แต่มันระดับ Engagement เลย

ประมาณว่า ทำให้บางคนตื่นเช้ามา สิ่งแรกที่ทำคือหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมได้ก่อนแปรงฟัน แถมยังยอมเติมเงินเข้าไปในเกมด้วย

Gamificaiton ก็เหมือนกันครับ
แก่นของมันคือ ทำให้คน ”เต็มใจ” ทำบางสิ่งบางอย่าง ด้วยเทคนิคของเกม

ผมเคยคุยเรื่องออกแบบระบบ Gamification กับผู้บริหารบางท่าน
ท่านบอกว่าเดี๋ยวจะบังคับให้ทุกคน เข้ามาใช้ระบบนี้ … เดี๋ยวๆๆ พี่เข้าใจผิดละ

ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้เราเคยชินกับการบังคับนะ
ถ้าไม่สั่งให้เค้าใส่ KPI เดี๋ยวเค้าจะไม่ทำ ถ้าไม่หักเงินเดือน เดี๋ยวคนงานจะไม่ตั้งใจ

คือ คนเราจริง ๆ ก็เต็มใจทำสิ่งต่าง ๆ ได้ … และ Gamification ก็มาตอบโจทย์ตรงนี้ได้

ส่วน Engagment Element มีอะไรบ้าง เดี๋ยวตอนหน้าๆมาคุยกันครับ

Book Review: Key Management Models, 3rd Edition

เล่ม 16 /2020

ดีนะ ดีมาก แต่ไม่ต้องอ่านก็ได้ 555

คือเป็นหนังสือรวม framework ดีๆเยอะมาก เอาไว้ใช้ได้เลย บอกตั้งแต่ ภาพใหญ่ การเอาไปใช้ ข้อพึงระวัง

เนื้อหาครบถ้วนมาก … แต่ …ถ้าไม่สนใจตรงนี้ก็ไม่ต้องอ่านก็ด้ายยย

คือผมทำงานด้าน Strategy Planning ไง เลยสนใจตรงนี้ อ่านเอาหลักคิด แล้วเก็บไว้เป็น Handbook

จริงหนังสือก็ยังไม่อัพเดทมากนะ เช่น ยังไม่มี OKR ไรงี้

จริงๆไอ้พวก Framework เหล่านี้ถ้าใช้เป็นแล้วดีมากนะ แล้วหนังสือเล่มนี้ก็ลงลึกมากไม่ได้ อย่างเช่น SWOT เนี่ย ดูเป็นของง่ายๆ แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะว้าวมาก เวลาเอา SWOT ไปทำ TOWS

สรุป หนังสือดี แต่ไม่ต้องอ่านก็ได้ 55

Book Review: Million Dollar Habits

เล่มที่ 15 /2020

งั้นๆ ไม่ต้องอ่านก็ได้

คือ เค้ารวม Habits ดีๆที่น่าสนใจไว้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ Million Dollar หรอก ตั้งชื่อ เก๋ๆไปอย่างนั้นเอง เนื้อหาเหมือนเขียน Blog ซะมากกว่าหนังสือ ส่วนใหญ่จะเป็นแนว Positive Thinking กฏแรงดึงดูด ส่วนนึงที่ไม่ชอบ

สิ่งที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้
Meditation
– เป็นนิสัยดีที่น่าฝึกฝน ข้อนี้ส่วนตัวสนใจมากนะ กะว่าปีนี้จะทำให้เป็นนิสัยใหม่ หลังจากปีที่แล้วยพยายามฝึกให้ตัวเองอ่านหนังสือได้ทุกวัน เขียน Page ทุกวัน … คือตอนนี้รู้สึกว่า อ่านหนังสือ กับ เขียน page ได้ทุกวันแบบ effortless แล้ว

อีกอย่าง ตอนนี้ตะวันตกสนใจเรื่องการทำสมาธิมาก ส่วนตัวเชื่อว่า หลัง Covid นี่ เราอาจเห็นฝรั่งมานั่งสมาธิกันเยอะขึ้น เพราะ เชื่อว่าหลายคนพอได้อยู่กับตัวเองนานๆ มันจะคิดอะไรบางอย่างได้

ผมเชื่อนะว่า พวกเราที่ WFH กันนานๆ บางทีมันก็อดไม่ได้ที่จะทบทวนอะไรบางอย่าง อย่างผมนี่ก็ได้คิด ได้ทบทวนอะไรหลายๆอย่าง มีหลายเรื่องที่ตัดสินใจได้ซักที

สรุป ไม่ต้องอ่านก็ได้ ชีวิตไม่ได้พลาดอะไรไป

Book Review: Think Like a Game Designer

เล่ม 14 /2020

ดีมาก ดีสุดๆ แนะนำให้อ่าน สำหรับใครที่สนใจการออกแบบเกม ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดเกมหรือเกมใดๆ

คือส่วนตัวผมศึกษาแนวทางการออกแบบเกมมาพอสมควร ซึ่งแต่ละเล่มที่อ่านมาก็จะดีต่างกันไป แต่พบว่าเล่มนี้เขียนได้ครบ กระชับ ตัวอย่างดีมาก ทุกไอเดียที่สอนในเล่มนี้ครบถ้วนมาก บอกได้เลยว่าคนแต่งเป็นนักออกแบบเกมที่เข้าใจหลักจิตวิทยาและหลักคิดของเกมอย่างแท้จริง

หนังสือไม่ยาว แค่ 200 กว่าหน้า แต่เป็น 200 กว่าหน้าที่เนื้อๆ เน้นๆ ไม่มีน้ำ

สิ่งที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้

1. A game designer uses the interaction fo players and rules to create an experience of the audience ชอบแนวคิดที่ว่าเกมคือการเล่าเรื่อง เราเหมือนคนงาน ที่ทำงานใน feeling factory

2. จะออกแบบเกมต้อง เล่นเกมให้เยอะ ดูคนเล่นเกมให้เยอะ และ สังเกต “Emotion” ของคนเล่นระหว่างเกม

3. การออกแบบเกม เริ่มจาก หา Experince ของผู้เล่นที่อยากจะสร้าง … อันนี้สำคัญ หลายๆคนมักจะลืมไป เพราะมักจะนึกถึงกลไก หรือ ธีมก่อน

4. เกมที่ดี เริ่มจากเกมที่ suck

5. ระหว่าง play test ถ้าผู้เล่นบอกว่าอะไรไม่ดี ให้ฟังเพราะมันมักจะจริง แต่ถ้าผู้เล่นบอกให้แก้ยังไง ให้ฟังหูไว้หู เพราะอาจจะไม่จริง … ผู้เล่นจะรู้ดีว่าเกมนี้สนุกหรือไม่สนุกตรงไหน แต่สกิลของนักออกแบบเกมคือ อ่านระหว่างบรรทัดให้ออกว่า จริงแล้วผู้เล่นต้องการอะไร เพราะหลายครั้งผู้เล่นก็ไม่ทราบ หรือ บรรยายไม่ได้ว่าตนต้องการอะไร อันนี้เหมือน design thinking

6. ทำเกมให้เรียบง่ายที่สุด ตัดสิ่งที่รุงรังออกไป ไม่ว่าจะเป็นกลไก หรือ อุปกรณ์ … ขั้นตอนนี้ยาก เพราะตอนออกแบบทุกสิ่งล้วนดีมีเหตุผล การตัดจึงเป็นเรื่องทำใจได้ยาก และ ค้นหายากว่าอะไรบ้างที่ตัดได้ ตัดแล้วเกมจะดีขึ้นได้อย่างไร

7. Make Player Instincts Correct .. อันนี้ล้ำ … คือ เวลาเล่นเกม ผู้เล่นปรกติจะเล่นโดยสัญชาติญาณ นักออกแบบเกมต้องเคารพตรงนี้ กติกาต้องทำให้สัญชาติญาณของผู้เล่นมัน work และตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นการออกแบบสายต่างๆในการเล่นเกม ซึ่งเกมจะช่วยให้เกมสนุก

หนังสือยังสอนรายละเอียดต่างๆเช่นว่า Resource มีกี่แบบ Strategy มีกี่แบบ Fun คืออะไร ไปจนขั้นตอนการออกแบบ ข้อพึงระวัง และ สอนยาวไปยันการผลิต การทำ UI และ การ Marketing

สรุปว่า อ่านได้ ดีมาก สุดยอด แนะนำเลย ส่วนตัวมองว่า หนังสือไม่ได้ลิมิตอยู่แค่การออกแบบเกม แต่สามารถปรับใช้กับงานเชิงสร้างสรรค์ต่างๆได้อีกมาก

Book Review: Magic Square

เล่ม 13 /2020

หนังสือสอนทริกสนุกๆเกี่ยวกับตัวเลข
คือให้เพื่อนบอกเลขอะไรมาก็ได้ แล้วเราจะวาดตารางซึ่งสามารถบวกได้เลขที่เพื่อนบอก …

ซึ่งเลขสามารถบวกได้หลายมุมมาก บวกยังไงก็ได้
ดูตัวอย่างในรูปละกัน เข้าใจง่ายกว่า

ในรูป เราจะเขียนให้เลขบวกได้ 35

ซึ่งทริกนี้ ใช้ได้กับเลข 2 หลักอะไรก็ได้
ก็ขำๆ สนุกๆ เอาไว้หลอกเด็กในบ้าน ยาม work from home ครับ 

Book Review: จดโน้ตแบบนี้ สมองชอบจัง

เล่ม 12 /2020

อ่านได้ หนังสือได้แนะนำวิธีการจดโน้ต เพื่อช่วยให้เรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้น สรุปเนื้อหาได้ดีขึ้น

เทคนิคหลักๆที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้

1. ใส่สัญลักษณ์

เช่นใช้ลูกศรเชื่อมโยงข้อมูล ใช้รูปดาว รูปกลมๆ บอลลูนข้อความ เพื่อเน้นข้อความสำคัญ … หนังสือออกแบบมาให้เลยว่า ให้ใช้สัญลักษณ์อะไรเพื่อสื่อถึงอะไร แต่อันนี้ผมว่าไม่ต้องซีเรียสก็ได้ เอาสัญลักษณ์ที่เราชอบก็พอ ประเด็นมันอยู่ที่ใช้สัญลักษณ์ช่วย เพราะ กลับมาอ่านอีกครั้งจะง่าย

2. จดคำถามที่สนใจ
ปรกติการประชุม เรามักจะจด objective ของการประชุม ลองเปลี่ยนเป็นจดจั่วหัวไปเลยว่า คำถามอะไรที่อยากได้คำตอบ …​ อันนี้เวิร์ค ใช้แล้วชอบ … เพราะเวลาประชุม เราจะเหมือนตั้งใจฟังว่า คำตอบเรามาหรือยัง ได้ข้อสรุปหรือยัง

3. วาดรูป
วาดรูปประกอบ วาดห่วยๆ วาดกากๆ ก็วาดไป วาดคนเป็นก้างๆ ก็ช่วยให้เราจำเนื้อหาได้ดีขึ้น กลับมาอ่านก็เข้าใจได้ทันที เพราะ การวาดช่วยให้เราจำได้ดีขึ้น … อันนี้จริง แนะนำเลย การวาดอีกอย่างที่สำคัญคือ วาดแผนภูมิ วาดกราฟ … อันนี้ก็ช่วยได้เยอะ ดีกว่าจดเป็นตัวเลขเฉยๆ

4. “ถ้าถูกมอบหมายให้ออกแบบสะพาน ไม่ต้องออกแบบสะพาน แต่ให้ออกแบบการข้ามสะพาน”
หมายความว่า จงทำความเข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องทำจริงที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

5. จดโน้ตแบบเชื่อมโยง
อันนี้ก็ชอบ ลองใช้แล้วดี ใช้เวลาอยากจะสร้างไอเดีย หรือ จดสิ่งที่เป็นเหตุผลต่อกันคือ ให้เขียนประโยคแรก แล้วใส่ลูกศร ชี้ไปประโยคที่2 แล้วชี้ต่อไปเรื่อยๆ เช่น ราคาน้ำมันตก -> เราเห็นอนาคตเริ่มผันผวน -> องค์กรต้องปรับตัว -> หาธุรกิจใหม่ -> ขายเต้าฮวย

สรุป อ่านได้ หนังสือมีเทคนิคการจดหลากหลาย หลักการโอเคอยู่ แต่ก็เหมือนหนังสือ how to ญี่ปุ่นทั่วไป ที่ชอบแอบเวิ่นๆ และ แบ่งบทเยอะๆ ซึ่งเนื้อหาจริงไม่ได้เยอะตามจำนวนบทขนาดนั้น

Book Review: คุณมีความสุขกับงานที่ทำอยู่หรือเปล่า (The Max Strategy)

เล่ม 11 /2020

ชื่อหนังสือไม่ค่อยตรงกับใจความเนื่้อหาเท่าไหร่
เนื้อหาจะเกี่ยวกับมุมมองในการทำงาน ในการใช้ชีวิต

คืองี้เค้าบอกว่า สิ่งต่างๆรอบตัวมันเหมือนจะดูยากไปหมด แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากขนาดนั้น เราสามารถ Maximize ได้ด้วยการเปลี่ยนมุมมองง่ายๆ

สิ่งที่ผมได้จากเล่มนี้

1) ควรตั้งเป้าหมายว่า เราจะพัฒนาขึ้นทุกๆวัน
คือหนังสือบอกว่า เราทุกวันนี้ติดอยู่กับการตั้งเป้าหมายที่เป็นพิษ คือตั้งแล้วทำร้ายตัวเอง

การตั้งเป้าหมายที่ดี คือ ตั้งเป้าว่าจะดีขึ้นกว่าเมื่อวาน … เพราะเราจะเดินหน้าไปเรื่อยๆ

2) Try never Fail
จริงๆแล้วการประสบความสำเร็จ มันขึ้นอยู่กับจำนวนการที่ได้ลอง แต่ไม่ได้ลอง หรือ ลองไม่มากพอ ก็ยากจะสำเร็จ

ก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่า ทำ10อาจจะได้ซัก1

3) ทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิม
จะล้อกับข้อที่แล้ว คือเวลาลองทำอะไรที่แตกต่างดู อย่าก๊อปปีสิ่งที่ประสบความสำเร็จแล้วอย่างเดียว

ความแตกต่างอาจจะไม่ได้สร้างสิ่งที่ดีขึ้นเสมอไป แต่ถ้าไม่แตกต่าง สิ่งดีๆก็เกิดยาก

ถ้าลองที่จะแตกต่าง โอกาสสำเร็จ ก็จะเพิ่มเป็น
ทำ10อาจจะได้ซัก2 … อาจจะดูน้อย แต่เพิ่มขึ้น 100% แล้วนะ

4) ไอเดียใหม่มาจากไอเดียเก่า
จริงแล้วไอเดียมาจากการต่อยอดของเก่าทั้งนั้นแหล่ะ
หนังสือแนะนำให้ไปลองดู งานเก่าๆที่เคย fail ไปดูปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ หรือ มานั่งดู process งานทั้งหมดที่ทำ แล้วลองดูว่าจะทำอะไรให้แตกต่างได้

ขยะเน่าคือปุ๋ยชั้นดี

หนังสือดีนะ ดีกว่าที่คาด ใครเบื่อๆ อยากหาแนวทางทำให้ชีวิตสนุกขึ้น อยากทำอะไรใหม่ แนะนำให้อ่านเลย เชียร์ๆ

Book Review: ทำธุรกิจ เริ่มจาก 10 ให้ได้ 100

เล่ม 10 /2020

อ่านได้นะ หนังสือเล่าว่า การทำธุรกิจส่วนตัวเนี่ย จริงๆไม่ต้องออกจากงาน แต่แบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาทำเสริมจากงานประจำได้

เค้าเรียกเก๋ๆว่า 10% Entrepreneur ซึ่ง แบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลักๆ

1. Angel หมายถึงการลงแต่เงิน ก็เอาเงินเท่าที่แบ่งได้ไปลงในกิจการต่างๆ ที่เชื่อว่าจะโต
2. Advisor อันนี้คือ ลงความรู้ ลงประสบการณ์ ไม่ต้องลงเงิน อาจจะเป็นที่ปรึกษาก็ได้ สอนให้ความรู้ก็ได้ ไปยันเป็นหุ้นส่วนกิจการเลย แต่เป็นหุ้นส่วนที่ลงสมอง ไม่ใช่ลงเงิน
3. Founder แบบนี้คือคนที่สร้างกิจการใหม่ขึ้นมา แล้วหาคนมาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งจะเป็น Angel หรือ Advisor ก็ได้
4. Aficionado จะคล้ายกับ Founder แต่ต่างที่เน้นทำสิ่งที่รักด้วย ไม่ใช่แค่เพื่อเงินอย่างเดียว
5. 110% Entrepreneur แนวนี้คือมีกิจการอยู่แล้ว แต่ก็ยังลงทุนทำโน่นนี่เพิ่ม

หนังสือเน้นว่าเนื่องจากยังทำงานประจำ ดังนั้นการแบ่งเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก และต้องอ่านให้ออกว่า จุดแข็งเราคืออะไร

สรุป อ่านได้ ไม่เสียดายตังค์ เหมาะกับคนที่อยากหารายได้เสริม แต่ยังไม่พร้อมที่จะออกจากงาน

Book Review: Big Data

เล่ม 9 /2020

ก็อ่านได้นะ คือหนังสือให้ความรู้ในเชิงภาพใหญ ทั่วๆไปว่า Big Data คืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง หลักคิดหลักการคืออะไร และ อะไรคือปัจจัยในการใช้ Big Data ให้ประสบความสำเร็จ

ประมาณว่าสอนหลักการ หลักคิด แต่ไม่ใช่หนังสือสอนทำ Big Data
ถ้าใครอยากเป็น Data Scientist อาจจะไม่ได้อะไรมากนัก

ข้อดีของหนังสือคือ ได้รู้จัก Technical Term หลักๆต่างๆครบ ทำให้คุยกับเค้ารู้เรื่อง เข้าใจว่าเค้ากำลังพูดอะไรกัน

แต่หนังสือเขียนเป็นเชิงวิชาการ เลยไม่ได้สนุกมากนัก แบบว่าเขียนเป็น Structure ชัดๆ อ่านแล้วเลยแห้งๆ

สรุป หนังสือเหมาะสำหรับคนทั่วไปที่อยากจะรู้จัก Big Data แบบลึกๆกว่าค้น google หรือ คนที่ไม่ใช่ Data Scientis แต่ต้องเกี่ยวข้องกับพวก Big Data