Book Review: The Power of Now

เล่ม 24 / 2020

The Power of Now

หนังสือสอนเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน เขียนดีเข้าใจง่าย ซึ่งก็เป็นแนวทางการทำสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน โดยเป็นการผสมระหว่าง พุทธมหายานและเถรวาท ซึ่งคนเขียนก็พยายามสรุปมาได้ดี

ไม่ได้ลึกซึ้ง ซับซ้อน เท่าที่เราๆคุ้นเคย แต่เพียงพอและเริ่มต้นได้สำหรับคนทั่วไป เช่น อยู่กับสิ่งตรงหน้า เช่นการล้างจาน อารมณ์ตรงหน้า เราเป็นเพียงผู้ดู ไม่ต้องไปตัดสิน แก้ไข แค่ดูแล้วอยู่กับมัน … ซึ่งผมว่าดีนะ เขียนเข้าใจง่ายดี

สิ่งที่ชอบมากของหนังสือเล่มนี้คือ อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่า คนเขียนเขาเชื่อในสิ่งที่เขาเขียนจริงๆ ว่าการอยู่กับปัจจุบันนั้นมีประโยชน์ และ พยายามโน้มน้าวให้เราเชื่อเหมือนเค้า พร้อมทั้งพยายามหว่านล้อมให้เราเชื่อตามด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา

ส่ิงที่ไม่ชอบ หนังสือโน้วน้าวเยอะไป 555 … คือผมอ่านแล้วรู้สึกว่า ผมเชื่อละคร้าบบบ ไม่ต้องเล่าเยอะ … แต่ก็เข้าใจได้ในมุมที่ว่า เค้ากำลังเขียนให้ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่พุทธฟัง เค้าเลยอยากโน้มน้าวเยอะหน่อย ซึ่งก็มีการโยงไปถึง God, Being, ยัน Chi ของจีน

ซึ่งผมว่ามันโยงไกลไป

สิ่งที่น่าสนใจในเล่มนี้อีกอย่างคือ เทคนิคการเขียน เค้าจะเขียนเป็น มีคำถาม แล้วเค้าเขียนตอบ โดยคำถามจะถามแทนคนอ่าน ซึ่งข้อดีคือ เค้าวางคำถามลงในแต่ละช่วงได้อย่างเหมาะสม แต่ ข้อที่ไม่ชอบคือ สไตล์การถาม แบบว่าบางทีมันคิดแทนเราเกินไป คือคนอ่านมันถามไม่ตรงกัน ถามง่ายๆแล้วตอบเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องบรรยายการถามให้เหมือนคนพูดจริงๆ เพราะ พอคำถามมันเขียนละเอียด ใส่สำนวนการพูด จนไม่เหมือนกับที่เราคิดจะถาม เราอ่านก็พาลจะเบื่อไป

สรุป หนังสือดี .. เหมาะกับคนที่อยากอ่านวิธีการฝึกอยู่กับปัจจุบันแบบพื้นฐาน หรือ คนที่อยากรู้ว่า ตอนนี้ฝรั่งสนใจทำสมาธิแล้วนะ แล้วเค้ากำลังอ่านอะไรกัน แต่ถ้าใครฝึกสมาธิเป็นประจำ อาจจะไม่ได้อะไรใหม่มากนัก

Catan: Crop Trust

Catan: Crop Trust

เป็นภาคเสริมย่อยที่คาทานจับมือกับองค์กร Crop Trust องค์กรระดับโลก ที่เก็บเมล็ดพันธ์พืชอาหารของโลกไว้เพื่อกรณีวิกฤต ไม่ว่าเหตุการณ์ใดก็ตาม

กติกานี่ผมชอบมาก ย่อๆประมาณนี้

  1. Token เมล็ดพันธุ์พืช
  • เอาทะเลทรายออก แล้วใส่แผ่นข้าวเพิ่มเข้าใป … ทำให้มีข้าว 5 แผ่น
  • บนแผ่นข้าว ให้วาง “Token เมล็ดพันธุ์พืช” ลงไป
  • ทุกครั้งที่ใครทอยเต๋าได้ข้าว ใครจะหยิบการ์ดข้าว ต้องเอา “Token เมล็ดพันธุ์พืช” ทิ้งออกจากเกม
  • ถ้าบนแผ่นข้าว ไม่มี “Token เมล็ดพันธุ์พืช” จะอดได้การ์ดข้าว
  • ทุกครั้งที่ใครก็ตาม สร้างบ้าน เมือง หรือ ถนน ให้จั่ว Event ซึ่งจะทำลาย “Token เมล็ดพันธุ์พืช” … ง่ายๆ ยิ่งพัฒนา เกาะจะยิ่งเสื่อมโทรม เมล็ดพันธุ์จะหายากขึ้น
  • ถ้า “Token เมล็ดพันธุ์พืช” ชนิดไหนโดนทิ้งจนหมด จะถือว่า สูญพันธุ์
  1. สะสมเมล็ดพันธุ์พืช
  • ทำได้แค่ตาละครั้ง
  • หยิบเมล็ดพันธุ์จากแผ่นข้าวที่มีบ้านเรา เข้าไปเก็บในคลัง
  • เบิกเอาเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในโกดัง ออกมาหว่านปลูกในแผ่นข้าวได้
  • ไม่ได้ทำฟรีๆนะ ต้องจ่าย ไม้-หิน
  • แต่ถ้าเราสะสม เมล็ดพันธุ์ได้เยอะๆ ก็จะได้แต้มพิเศษด้วย
  1. จบเกม
  • จบ 10 แต้มตามปรกติ
  • แผ่นข้าว 3 ใน 5 แห้งแล้ง ไม่มี “Token เมล็ดพันธุ์พืช”
  • “Token เมล็ดพันธุ์พืช” สูญพันธ์ุ 2 ชนิด
  • การจบ 2 แบบหลัง คนชนะคือคนที่สะสมเมล็ดพันธุ์ได้เยอะที่สุด ไม่ใช่ แต้ม VP

เป็นภาคที่น่าสนุกมากกก ธีมดูแน่น
นั่นคือ คนเล่นจะต้องคอยบาลานซ์การเก็บเกี่ยวทรัพยากรเพื่อตัวเอง หรือ การคอยหว่านปลูกพืชผลเพื่อให้เกมเดินต่อไปได้

เกมจะเพิ่มมิติการตัดสินใจระหว่าง ทำเพื่อตัวเอง หรือ เพื่อคนอื่น

และที่สำคัญ โดยรายได้จากการขายภาคเสริมย่อยนี้ คาทานจะบริจาคส่วนนึงให้กับองค์กร Crop Trust!

ใครสนใจก็หาซื้อมาเล่นกันได้ครับ
ผมเองก็ยังไม่มี แต่อ่านกฎแล้วคิดว่า ภาคนี้เดี๋ยวจะซื้อมาสะสมแน่ๆ

Book Review: The Bullet Journal Method

เล่ม 23 / 2020

The Bullet Journal Method

เขียนดี แนะนำให้อ่าน เหมาะสำหรับคนที่อยากจะหาระบบการจัดการสมุดโน๊ต ว่าจะจดยังไง บันทึกยังไง ทำยังไงให้กลับมาอ่านอีกทีแล้วเข้าใจ

ซึ่งระบบนี้เรียกว่า Bullet Journal เป็นระบบที่จัดการทุกอย่างได้จบในสมุดเล่มเดียว … เจ๋งป่ะล้าา

ส่วนตัวผมใช้ Bullet Journal Method มาหลายปีละ โดยไปรู้จักมาจาก web Lifehacker.com จริงๆที่สนใจเรื่องนี้ก็เริ่มมาจาก GTD ก่อน

ยอมรับว่าพอหนังสือเล่มนี้วางขายในไทย ตอนแรกผมเฉยๆมาก เพราะคิดว่าคงเป็นหนังสือสอนแบบทั่วไป ไม่น่าจะมีอะไรใหม่ แต่พอมาทราบทีหลังว่าเป็นหนังสือแปลจาก คนเขียนที่เป็นคนต้นคิด Bullet Journal เลยเว้ยยยย ก็รีบซื้อมาอ่านโดยไม่คิดทันที 555

เขียนดีมาก ชอบเลย

หนังสือสอนแต่หลักการ หลักคิด ว่าอะไรคือแก่นจริงๆ ของระบบ แล้วให้คุณไปปรับใช้ไปประยุกต์เอาเอง ตามที่คุณชอบ ว่าคุณจะจดบันทึกอย่างไร

ระบบนี้ดีจริง แนะนำให้อ่านเลย เข้าใจง่าย หนังสือสือหนา แต่อ่านไม่นาน ถ้าไปศึกษาต่อในเวป จะพบว่า มีคนพัฒนาต่อยอดไปได้เยอะมาก

ใครที่ชอบ Bullet Journal อยู่แล้วก็อ่านเล่มนี้ได้ จะได้เข้าใจว่าคนต้นคิดเค้ามีไอเดียอะไรซ่อนอยู่ ใครที่ไม่เคยลอง แล้วอยากรู้ ก็อ่านได้เช่นกัน เพราะ ถ้าไปเริ่มจากในเวป อาจจะตาลายได้ เพราะ ตอนนี้คนใช้กันเยอะมาก แฟนซี จนอาจจะทำให้ตาลายได้

ใจจริงอยากจะสรุปว่า หนังสือสอนอะไร แต่มองว่าถ้าสรุปแต่ How มันก็จะดูสั้นไป ไม่มีอะไร เพราะจำเป็นต้องเล่า Why ด้วย ซึ่งก็จะยาวไปอีก เอาเป็นว่าลองไปอ่านกันดูนะครับ

ข้างล่างนี้เป็นรูปสมุดบันทึกที่ผมจดแล้วเก็บไว้

Gamification: องค์ประกอบของเกม

#Gamification ตอนที่9

การจะเข้าใจเรื่องหลักการใช้ของ เกมมิฟิเคชั่น ต้องยอมรับว่าเราคงต้องมาทำความใจเรื่องเกมกันด้วย
ก็ไม่ต้องเข้าใจลึกมากถึงขั้นการออกแบบเกม แต่ก็ควรที่จะต้องรู้องค์ประกอบของเกมไว้บ้าง

ทั้งนี้เพราะ เรากำลังจะเอาความเป็นเกมไปปรับใช้ในสิ่งที่ไม่ใช่เกม

จริง ๆ เรื่ององค์ประกอบของเกม ก็มีหลายตำรา แต่ที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวก็ จากหนังสือ Reality is Broken ของ Jane McGonigal ได้ให้ข้อสรุปไว้น่าสนใจว่าเกมต้องมีอยู่ 4 อย่างคือ

  1. Goal (เป้าหมาย)

คือสิ่งรวบยอดทั้งหมดของเกมที่ทำให้ผู้เล่นรู้ตัวว่าต้องทำอะไร ซึ่งโดยปกติเป้าหมายของเกมจะหมายถึงวิธีการได้รับชัยชนะ อย่างเช่นเกมมาริโอ้ที่เป้าหมายคือ ชนะเกมด้วยไปช่วยเจ้าหญิงให้ได้ในด่านสุดท้าย

  • Rules (กติกา)

คือสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นรู้ว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง และ ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่น มาริโอ้ที่ เราสามารถกระโดดได้ วิ่งได้ แต่จะตายถ้าตกเหว หรือ ชน monster รวมถึงกินเห็ดแล้วตัวใหญ่ กินดอกไม้ไห้แล้วจะยิงลูกไฟได้ นอกจากนี้ยังมีกติกาอื่นๆ เช่น ต้องรีบจบแต่ละด่านให้ได้ก่อนเวลาหมด เป็นต้น

Feedback system (การแสดงตอบสนองต่อการกระทำของผู้เล่น)

ในทุกเกมจะมีการสื่อสารกับผู้เล่นว่าสิ่งที่เพิ่งทำไปนั้นดี ไม่ดี น่าชื่นชมหรือไม่อย่างไร เช่นใน มาริโอ้ เวลาจบฉากเราจะต้องกระโดดเกาะเสาธง ถ้าเกาะได้สูงๆ ก็จะพลุขึ้นฉลอง รวมถึงเสียงดังปุงปังๆ เพื่อบอกว่าเราทำได้ดี

นอกจากนี้ระหว่างเล่นแต่ละฉากที่จะมีคะแนนให้เราเห็นว่าเราได้คะแนนเท่าไหร่ ซึ่งคะแนนนี้จะได้รับ และ ค่อยๆเพิ่มขึ้นทันทีระหว่างเล่น ไม่ใช่ว่าต้องรบจบฉากก่อนถึงจะค่อยได้เห็นคะแนน

ทั้งหมดนี้เป็นการตอบสนอง (Feedback) ที่คนเล่นได้รับ ลองจินตนาการถึง มาริโอ้ ที่ไม่มีการแสดงผลอะไรเลย วิ่งไปเรื่อยๆ เงียบๆ คุณคิดว่าเกมจะยังสนุกอยู่หรือไม่ครับ

  • Voluntary participation (การให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมด้วยความเต็มใจ)

คือการที่เกมสามารถสร้างความรู้สึกให้ผู้เล่นยอมทำตามกติกาที่เกมกำหนดไว้ ข้อนี้ลึกซึ้งและเข้าใจยาก อยากให้ลองนึกว่าหากเกมได้ออกแบบกติกาแปลก ๆ ออกมา แล้วผู้เล่นไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย เกมจะเริ่มไม่สนุก เพราะผู้เล่นจะมองกติกาแปลก ๆ เหล่านั้นเป็นความยากลำบากที่น่าเบื่อ ไม่ใช่ความท้าทายที่สนุก

เช่น หาก เกมมาริโอ้บอกว่า ให้เราต้องไปต่อสู่กับเจ้าหญิงเพื่อไปช่วยตัว Koopa แทนคิดว่าเนื้อเรื่องเกมแบบนี้จะรู้สึกสนุกมั้ยหรือว่า เปลี่ยนจากการต้องกระโดดเหยียบสัตว์ประหลาดเป็น ไปโหม่งหิน แล้วเอาหินมาทุ่มใส่สัตว์ประหลาด ก่อนถึงจะเหยียบให้ตายได้ คิดว่าการต้องทำแบบนี้คนเล่นจะรู้สึกรับได้และอยากเล่นมั้ยครับ

ในบรรดา 4 องค์ประกอบนี้ เรามักจะนึกถึงข้อ 1-3 แต่ลืมนึกถึงข้อ 4 Voluntary participation (การให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมด้วยความเต็มใจ) ไป ทั้งที่ถ้าหากย้อนกลับไปดูจากคำนิยามเกมของ Bernard Suits ที่บอกไว้ว่า “การเล่นเกมคือความสมัครใจที่จะพยายามเอาชนะอุปสรรคที่ไม่มีความจำเป็น” คุณจะพบว่าการที่ผู้เล่นเต็มใจทำเองนี้ถือได้ว่าเป็นแก่นของเกมเลย

Reality is Broken: Why Games Make Us Better and How They Can ...

Book Review: The business idea factory

เล่มที่ 22/2020

The business idea factory

อ่านง่ายดี เป็นหนังสือแนะนำวิธีการสร้างไอเดียใหม่

ถึงชื่อหนังสือจะเขียนว่าเป็น business idea แต่จริงๆก็ใช้กับอะไรก็ได้หล่ะ

วิธีสร้างไอเดียในหนังสือเล่มนี้ ออกจะเป็น trick มากกว่า แต่ก็เป็น trick ที่ดี

คือยอมรับว่าบางอันก็ดูงั้นๆ แต่หนังสือพยายามรวมมาให้ ก็อ่านไว้เป็นแนวทางได้

3 เทคนิคการสร้างไอเดียที่ผมชอบจากเล่มนี้

1. เขียนคำถาม 10 แบบสำหรับปัญหาของคุณ

ลองดูว่าปัญหาของคุณสามารถเขียนคำถามในรูปแบบต่างๆได้กี่แบบ หลายครั้งที่การเปลี่ยนคำถาม เราก็จะได้มุมมองและคำตอบแตกต่างออกไป

เช่นจากโจทย์ “จะเพิ่มยอดขายเครื่องซักผ้ายังไงดี” คุณอาจจะตั้งคำถามแบบอื่นได้ว่า “ทำไงให้ลูกค้า 1 คนซื้อเครื่องซักผ้ามากกว่า 1 เครื่อง” ไปจน “ทำอย่างไรถึงจะจ้างคนขายๆเก่ง มาขายแทนเรา”

หนังสือยังแนะนำให้ลอง แยกปัญหาเป็นประเด็นย่อยๆ แล้วลองตั้งคำถามทีละมุม เพราะการตั้งคำถามกับประเด็นที่ใหญ่ไป อาจจะทำให้เราคิดไม่ออก เช่น แทนที่จะถามว่า ตั้งโรงงานช็อกโกเล็ตยังไงดี ก็ลองถามว่า ทำยังไงให้ได้ช็อกโกแล็ตอร่อยๆ

2 คิดไปพักไป

เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีนะ คือตั้งใจคิดหาคำตอบไปเลย ตั้งเวลาไว้ พอหมดเวลา ก็เลิกคิด ไปทำอย่างอื่น ไปนอน แล้วค่อยกลับมาคิดใหม่ วิธีนี้จะเป็นการให้สมองให้ process ความคิดและปัญหา หลายครั้งจะทำให้เราสามารถคิดอะไรออกได้

อีกแนวทางคือ คิดปัญหาหลายอย่างพร้อมๆกัน คือ คิดปัญหาที่ 1 ก่อน พอหมดเวลาก็คิดปัญหาที่ 2 แล้วก็กลับมาที่ 1 วนไปวนมา แบบว่าให้สมองได้เปลี่ยนเรื่องคิด

3 การสร้างไอเดียใหม่ๆเป็นงานมาราธอน

คืออยู่ๆจะให้ได้ไอเดียดีๆมันเป็นเรื่องยาก หนังสือแนะนำให้ทำให้เป็นนิสัย คือ ค่อยๆคิดทุกวัน ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุด คิดไอเดียอะไรได้ก็จดเก็บไว้

รวมถืงลองออกไปเจอคน ไปทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพราะเป็นการรับฟังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จะมาเป็นวัตถุดิบให้เราสร้างไอเดียได้

ส่วนตัวว่าหลายองค์กรมีปัญหานี้ คือ อยากให้พนักงานมีไอเดีย แต่ไม่ได้ให้โอกาสพนักงานได้ออกไปเปิดหูเปิดตา รับรู้ไอเดีย

สรุป … อ่านได้ ไม่ได้ว้าวมาก แต่หนังสือได้รวบรวมเทคนิคดีๆไว้เยอะมากกก หลายๆอันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟังแล้วน่าสนุกดี

เช่น เทน้ำใส่แก้ว ถามคำถาม แล้วกินน้ำครึ่งแก้ว ระหว่างกินก็บอกว่า ขอให้ได้คำตอบ แล้วก็เข้านอน ตื่นมากินอีกครึ่งแก้ว แล้วดูว่าได้ไอเดียอะไรบ้าง คือมันมีหลักการรองรับนะ แต่ฟังแล้วดูน่ารักดี 😀

Book Review: The Alchemist

วันนี้มีหนังสือนิยายแนะนำให้อ่านเล่มนึงครับ

“The Alchemist” โดย Paulo Coelho

ชอบมากเป็นส่วนตัวครับ ถ้าจะให้อ่านนิยายได้เล่มเดียว ผมเชียร์เล่มนี้

เนื้อเรื่องเป็นการผจญภัยของเด็กหนุ่มเพื่อไปค้นหาสมบัติที่ปิรามิดตัวเรื่องเดินเร็ว สนุก
แต่ที่ผมชอบมากคือ Symbolic มันเยอะจัดทั้งเรื่องเลยไม่อยากเล่า เดี๋ยวสปอย

เอาเป็นว่าเชียร์ให้อ่านครับ

……………………………….

จริงๆ ตอนที่ผมซื้อเนี่ย ผมลังเลนะ คือก็รู้ว่านิยายดัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอ่านแล้วขอบมั้ย ก็เลยลองพลิกๆดู แล้วเจอ Prologue ที่เขียนเป็นนิยายสั้นๆยาว หน้าครึ่ง แบบว่าจบแล้วซื้อเลย เล่มนี้น่าอ่าน

ขอเล่าย่อๆให้ฟังหน่อยนะ

Alchemist ได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนึง

เป็นเรื่องต่อเนื่องหลังจาก นาร์ซิสซัส (Narcissus) ได้จมน้ำตาย (นาร์ซิสซัสเป็นเรื่องนึงในเทพนิยายกรีก หลงในความงดงามของตัวเอง ก้มมองเงาตัวเองที่สะท้อนในน้ำ จนสุดท้ายก็ตกลงไปในทะเลสาบ จมน้ำตาย)

หลังจากนาร์ซิสซัสได้ตายลง ทะเลสาบก็ยังคงร้องไห้

เทพธิดาแห่งผื่นป่า ได้เข้ามาถามว่าทำไมทะเลสาบถึงยังร้องไห้
ทั้งนี้เทพธิดาคิดว่า ทะเลสาบเสียใจที่ไม่ได้ชื่นชมความงามของนาร์ซิสซัส

แต่ทะเลสาบตอบว่า ไม่รู้เลยว่า นาร์ซิสซัส นั้นงดงามหรือไม่
ทะเลร้องไห้ เพราะเสียใจที่ไม่ได้ชมความงดงามของตนเอง จากที่สะท้อนในแววตาของนาร์ซิสซัส

อ่านจบ Alchemist ก็กล่าวว่า “What a lovely story”

……………………………….

เป็นเรื่องสั้น ที่จบไว้ อ่านแล้วสตั้นจริงๆ ต้องอ่านนิยายทั้งเล่มให้จบ แล้วกลับมาอ่าน Prologue อีกครึ้ง เราจะได้มุมมองที่แตกต่างออกไป และจะเข้าใจเจตนาที่คนเขียนซ่อนไว้

เอาเป็นว่า เชียร์ให้อ่านครับ เป็นนิยายที่เหมาะกับช่วง วิกฤต Covid .. New Normal 😃

ปล. เพราะผมได้อ่านเล่มนี้ ทำให้เวลาเจอบอร์ดเกมธีม Alchemist แล้วอดใจไม่ได้ ต้องซื้อมาสะสม 555

Book Review: Strategy Beyond the Hockey Stick

เล่ม 21 / 2020

Strategy Beyond the Hockey Stick

ช่วงนี้ผมกำลังทำ Strategy Lookback ของบริษัท ก็เลยได้มาลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์กลยุทธ์องค์กร

เล่มนี้น่าสนใจดี คือ

เค้าบอกว่า บางองค์กร เวลาวางแผนกลยุทธ์ ตอนทำ Projection ก็จะลากเส้นว่า ในอนาคตบริษัทจะโต อย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งกราฟจะมีรูปจะเหมือนกับไม้ฮอกกี้ที่ลงนิดนิงแล้วขึ้นต่อยาวๆ (ดูรูปข้างล่าง)

แต่ว่ามีไม่กี่บริษัทที่สามารถเติบโตได้ตามที่ Project ไว้จริง

แต่บางบริษัทน่าสนใจว่า ถ้าลากเส้น Actual ของทุกปี คู่กับ projection ที่วางไว้ในแต่ละปี จะเห็นว่าเส้น Actual มันทรงๆ ลงๆ แต่จะมี Projection ลากชึ้นทุกปี หนังสือเค้าเรียก Hairy back ประมาณว่าเหมือน ขนที่ชี้ขึ้นบนหลังค่อมๆ

น่ากลัวดีเนอะ บริษัทไหนเป็นแบบนี้ก็ต้องระวังตัวนะ

เพราะแปลว่า คงมีปัญหาเรื่องการทำ Projection หรือ ไม่สามารถ Execution ได้ตามแผน

Projection ไม่ดีได้อย่างไร … หนังสือบอกว่า ส่วนใหญ่เกิดเพราะคน ที่พยายามทำภาพออกมาให้ดูดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการขออนุมัติจากผู้บริหาร หรือ เป็นทิฐิส่วนตัวก็ตาม

อีกด้านคือปัญหาด้าน Execution อันนี้ต้องไปดูละ ว่าจะแก้ไขยังไง

เท่าที่อ่าน ในหนังสือไม่ได้เน้นด้านนี้ ก็เสียดายอยู่ แต่จากที่อ่านเล่มอื่นๆ การปิด Strategy to Execution gap นี้มันแก้ได้หลายทางนะ ส่วนตัวแนะนำ OKR

สุดท้าย บริษัทแบบไหนสามารถทำไอ้ Hockey Stick นี้ได้จริง

หนังสือบอกว่า จากการศึกษาพบว่า คือบริษัทที่สามารถสร้าง Economic Return ได้ดีกว่าเฉลี่ยอุตสหกรรม อันนี้ก็ผ่านไปก่อนละกัน ไม่ขอลงลึก

สรุป ไม่ต้องอ่านก็ได้ ถ้าไม่ได้สนใจเรื่องอะไรทำนองนี้ เพราะมันค่อนข้างเฉพาะทาง

Book review: The 4 Disciplines of Execution

เล่ม 20/2020

The 4 disciplines of execution

บางท่านอาจจะพอทราบว่าผมทำงานด้านการวางแผนกลยุทธ์องค์กร ทีนี้ทีมผมปีนี้มีแผนจะทำ Strategy look back เพื่อทำ Lessons Learned เก็บไว้

ทีนี้สิ่งนึงที่เป็นความท้าทายของการวางแผนกลยุทธ์ คือ Execution เพราะบางทีถึงแผนจะดี แต่ทำไม่ได้ตามแผนก็ทำให้องค์กรไม่สามารถประสบความสำเร็จตามที่วางไว้ได้

ผมก็เลยไปหาหนังสือมาอ่าน แล้วเจอเล่มนึงที่น่าสนใจ เลยอยากจะเอามาเล่าให้ฟัง

หนังสือบอกว่า การที่องค์กรจะมี Execution ที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีองค์ประกอบ 4 ด้านซึ่งหนังสือเค้าเรียกว่า the 4 disciplines of execution สรุปได้ตามนี้ครับ

Discipline 1: Focus on the wildly important

คือการให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่สำคัญเท่านั้น องค์กรต้องเลือกว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด 1-2 อย่างแล้ว focus ลงไปกับสิ่งนั้น ซึ่งข้อดีคือ พนักงานจะรู้และเข้าใจง่ายว่า ตอนนี้องค์กรกำลังให้ความสำคัญกับอะไร ถ้าเป้าเยอะไป พนักงานจะสับสน

มันมีการศึกษาบอกว่า องค์กรที่มีเป้าหมายสำคัญเยอะเกินไป มีแนวโน้มที่จะไม่สำเร็จซักอย่างเลย ตัวอย่างเช่น Nasa ที่ตอนแรกมีเป้าหมายเต็มไปหมด ตอนหลังปรับเป็น เราจะไปดวงจันทร์ …. เท่านั้นแหล่ะ เค้าก็สามารถไปดวงจันทร์ได้ และ เป็นองค์กรชั้นนำ

Discipline 2: Act on the lead measures

ตัวชี้วัดการทำงานมีหลายตัว องค์กรต้องระบุออกมาให้ชัดว่า Leading Indicator สำหรับ การบรรลุเป้าหมายสำคัญ (ในข้อที่แล้ว) คืออะไร แล้วก็สื่อสารกับพนักงานให้ชัด เพื่อที่พนักงานจะได้รู้ว่า เขาต้องทำอะไร

Leading Indicator คืออะไร หลักๆก็ สิ่งหรือการกระทำที่เป็น “เหตุ” ให้เกิดผลลัพท์ที่ต้องการ เช่น อยากปลูกมะม่วง leading indicator ก็รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยเป็นต้น

การตั้ง KPI ก็ควรเน้นตรง Leading Indicator ไม่ใช่ Lacking Indicator ที่เป็นผล เช่นพวก ผลประกอบการ … Lacking ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ต้องเน้นพวก Leading ด้วย

Discipline 3: Keep a compelling scoreboard

คือการทำให้พนักงานทุกคนได้รู้ความคืบหน้าตลอดเวลา ว่าตอนนี้ status ไปถึงไหนแล้ว on track มั้ย หรือว่า ล่าช้ากว่าแผนไปแล้ว

ปัญหาของ Execution คือ บางทีพนักงานไม่รู้ว่าภาพใหญ่ตอนนี้องค์กรอยู่ตรงไหน ใกล้หรือไกลจากเป้าเท่าใด อาจจะทำเป็นกราฟง่ายๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน

เป้าหมายขององค์กรเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนควรรู้ ไม่ใช่เฉพาะผู้บริหาร

Discipline 4: Create a cadence of accountability

คือการสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วม ในการทำงานให้เกิดขึ้นกับพนักงานทุกระดับ

Discipline 3 ข้อแรก เทียบได้กับการเตรียมตัว แต่ข้อ4 นี่คือการเริ่มเกมอย่างแท้จริง เพราะถ้าเราไม่สามารถสามารถความรู้สึกมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นได้ ก็ยากที่ Execution จะเกิดขึ้นได้จริง

แล้วจะสร้างได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ให้มีการประชุมทีม “เร็วๆ” เพื่ออัพเดทความคืบหน้า อาจจะเป็นอาทิตย์ละหนก็ได้ แล้วแต่งาน เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าอยู่ใน Flow ของงานตลอดเวลา รู้ความเคลื่อนไหวของงานว่าใกล้เป้าหมายหรือยัง

หลักๆคือเดิมทีเป้าหมายองค์กร จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องของผู้บริหาร ไม่ใช่เรื่องของพนักงาน ถ้าอยากจะ Execution ให้ประสบความสำเร็จ เราต้องสร้างความมีส่วนร่วมให้กับพนักงานให้ได้

The Raise of Board Games

ไปเจอกราฟน่าสนใจ เลยเอามาเล่าให้ฟัง

คือมีคนไปทำกราฟ จำนวนของบอร์ดเกมที่ผลิตขายต่อปีออกมา
สรุปจากกราฟ เราจะเห็นว่า

  • บอร์ดเกมเริ่มค่อยๆโตขึ้นตั้งแต่ปี 1950
  • จนกระทั่ง 1978 ได้มีการประกาศรางวัล Spiel des Jahres จำนวนบอร์ดเกมที่ผลิตต่อปีก็โตเร็วขึ้น จนมีจำนวนเพิ่ม 2 เท่าใน 10 ปี
  • ต่อมาปี 1995 คาทานก็เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็น 1 ในเกมที่ทำให้ Eurogame ได้แพร่หลายเป็นหนึ่งใน Hobby ที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งหลังจากตอนนี้กราฟพุ่งหัวตั้งมาก
  • จนถึงทุกวันนี้ กราฟก็ยังพุ่งไม่หยุด ตลาดบอร์ดเกมน่าจะยังไปได้อีกไกลมากกกกกก
  • บ้านเราก็น่าจะมีศักยภาพไปได้อีกไกลเหมือนกัน ตอนนี้ก็มีหลายคนพยายามเอาบอร์ดเกมไปปรับใช้ในกิจกรรมที่หลากหลาย และ บอร์ดเกมก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้น จำได้ว่าแต่ก่อนไม่มีใครรู้จักบอร์ดเกมเลย แต่ตอนนี้ก็มีคนรู้จักเยอะขึ้นมาก .. ตลาดยังโตได้อีก ค่อยๆเดินไปด้วยกันนะครับ

อ่านเต็มๆได้ที่ลิ้งนี้ครับ https://medium.com/@Juliev/the-rise-of-board-games-a7074525a3ec

Book Review: Origin

เล่ม 19/2020

Origin

เป็นนิยายเล่มที่ 5 ของ Dan Brown ในชุด “โรเบิร์ต แลงดอน”

เล่มนี้จะพาไปสู่คำถามที่เป็นเชิงปรัชญามาขึ้นว่า ชีวิตมาจากไหน และ ต่อไปจะเป็นอย่างไร .. สองคำถามนี้เป็นคำถามหลักของมนุษยชาติเลยนะ ทำให้เกิด ศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์

ซึ่งตอนจบหนังสือก็ได้นำเสนอทฤษฏีที่น่าสนใจดี … ต้องยอมรับว่า บทสรุปของหนังสือแต่ละเล่มของ Dan Brown เนี่ย จุดประกายให้คิดได้ตลอด

แถมสิ่งที่เล่มนี้ดีกว่าเล่มอื่นคือตอนจบหักมุม แบบว่าหักมุมตกเก้าอี้เลย แบบว่าไม่ได้เตรียมใจเจอการหักมุมขนาดนี้ อันนี้ชอบมาก

แต่พอมาดูโครงเรื่องหลัก ก็ต้องบอกว่าเหมือนเดิม ที่ว่า ศ.แลงดอนไปเจอปัญหา (อารมณ์เดียวกับโคนัน ที่ไปที่ไหนก็เกิดเรื่อง) จากนั่นแลงดอนก็วิ่งพล่านทั้งเรื่อง และ ระหว่างทางก็จะแวะผ่าน งานศิลปะล้ำค่า สถาปัตยกรรมต่างๆ ซึ่งเขียนดี อ่านลุ้นตามนะ … แต่ก็นั่นไง วิ่งอีกละ

เล่มนี้ แลงดอน ไปวิ่งในสเปน ก็ดีหน่อย ไม่ได้ไปวิ่งใน Florence

อีกอย่าง ผมชอบเวลาเค้าบรรยายถึงพวกงานศิลปะ สถาปัตยกรรมต่างๆนะ แบบว่าเพลินดี ส่วนตัวชอบมากกว่า part วิ่ง บอกเลยว่าที่ซื้อนิยายของ Dan Brown มาอ่านเพราะอยู่รู้งานศิลปะมากกว่าอย่างอื่น

สรุป อ่านได้ ถ้านิยายสไตล์ Dan Brown ที่เล่าเรื่อง ศาสนา ศิลปะ วิทยาศาตร์ มีทฤษฏีโน่นนี่กระตุกต่อมคิด … ผมให้ 3/5 ดาว คือ ชอบเนื้อหาที่นำเสนอเรื่องทฤษฏีกำเนิดโลก อนาคตโลก รวมถึงการหักมุม แต่ไม่ชอบกับโครงเรื่องที่เดาได้ เพราะมันวนเวียนอยู่กับการที่แลงดอนวิ่งพล่านไปมา